Online Heatpump - LEAFS,HEATPUMP,ระบบน้ำร้อน ระบบลดความชื้นอากาศ ด้วยเทคโลยี IOT (Internet Of Things) ซึ่งเป็น Trend ในยุค 4.0
Internet of Things คือ สภาพแวดล้อมอันประกอบด้วยสรรพสิ่งที่สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกันได้ผ่านโพรโทคอลการสื่อสารทั้งแบบใช้สายและไร้สาย โดยสรรพสิ่งต่างๆ มีวิธีการระบุตัวตนได้ รับรู้บริบทของสภาพแวดล้อมได้ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบและทำงานร่วมกันได้
เรากำลังอยู่ในช่วงเปลื่ยนถ่ายระหว่างยุค "คนกับอินเทอร์เน็ต" ไปเป็นยุค "สิ่งของกับอินเทอร์เน็ต" ซึ่งก็คือ ยุคที่ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น ที่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ต่อไปสิ่งของต่างๆก็สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตและสามารถติดต่อสื่อสารกันได้แบบ ไม่ว่าจะสื่อสารกับอุปกรณ์ชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกัน เช่น สมาร์ทโฟนติดต่อกับสมาร์ทโฟน หรือ คอมพิวเตอร์ติดต่อกับโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
ดังนั้นเราก็จะสามารถสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยวิธีที่สะดวกสบายมากขึ้นได้ เช่น มีกล้องติดไว้ที่เตียงและสั่งให้ไมโครเวฟอุ่นอาหารให้อัตโนมัติเมื่อเราตื่น หรือ ตอนเช้าต้องรีบไปทำงาน แต่ลูกยังไม่ตื่น ก็สามารถสั่งการไมโครเวฟทีหลังเมื่อลูกตื่นจากที่ทำงาน ผ่านสมาร์ทโฟนได้เช่นกัน
Online Heatpump - Online Service
Leafs heatpump ได้นำเทคโนโลยี Internet of things มาใช้ เป็นระบบที่ช่วยบริการให้ผู้ใช้งานฮีทปั๊ม และอุปกรณ์ต่างๆ ของทาง Leafs heatpump ได้ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ ปรับตั้งค่าต่างๆ ของอุปกรณ์ และสภาพความพร้อมใช้งานต่างๆได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว โดยผ่านทางโปรแกรม ที่สามารถเข้าถึงการดูข้อมูลทั้งหมด ได้จากอินเทอร์เน็ต และยังมีผู้ดูแลระบบจากทางเรา คอยตรวจสอบและให้คำปรึกษา
Report
Report - โปรแกรม online service ตรวจสอบค่าข้อมูลของอุปกรณ์ในระบบย้อนหลังได้ทั้งหมด โดยสามารถเลือกดูข้อมูลของทั้งวันได้ และเลือกวันต่อวัน
Real-time Graph
Graph - หน้าเพจของโปรแกรม online service ที่ผู้ใช้จะสามารถเข้ามาตรวจเช็คข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆได้ในรูปแบบกราฟที่ดูง่ายต่อความเข้าใจ และยังแสดงในสถานะในปัจจุบันแบบ Real-time
ในปัจจุบันมีการนำ IoT มาประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ มากมาย เว็บไซต์ IoT Analytics ได้ทำการสำรวจและจัดอันดับ โดยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตยอดนิยมหลักๆได้แก่ สถิติการค้นหาใน Google การแชร์บน Twitter และ จากการที่มีคนพูดถึงบน Linkedin เรามาดูกันว่า 10 อันดับที่มีการประยุกต์ใช้มากสุดมีอะไรกันบ้าง
1.) Wearables คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งและใช้งานบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อความสะดวกในการใช้งานเพราะสามารถนำติดตัวไปได้ทุกที่
ปัจจุบันมีการพัฒนาออกมาเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น นาฬิกา สายรัดข้อมือ และแว่นตา
2.) Smart City หรือเมืองอัจฉริยะ หมายถึง เมืองที่มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้คุณภาพ ของประชากรดีขึ้น เช่น การจัดการพลังงานไฟฟ้า ระบบจัดการน้ำ จัดการขยะ เป็นต้น
3.) Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะ หมายถึง การนำเทคโลยีมาควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในหรือภายนอกบ้านได้ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เช่น ประตูอัตโนมัติ เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว การเปิดปิดไฟอัตโนมัติ เป็นต้น
4.) Industrial internet เป็นการใช้ IoT สำหรับอุตสาหกรรมและโรงงานการผลิต
5.) Smart grid หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาบริหารจัดการควบคุมการผลิต ส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า
6.) Connected car เป็นรถยนต์อัจริยะที่มีการติดตั้งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย
7.) Connected health เป็นแนวคิดการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงชุมชนเข้ากับระบบสุขภาพแบบครบวงจร
8.) Smart farming หรือฟาร์มอัจฉริยะ คือ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานเข้ากับงานด้านเกษตร
9.) Smart retail เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจห้างร้าน
10.) Smart Supply Chain คือ การจัดการในส่วนของกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตกับผู้ขาย
หลายท่านคงได้ยินกันบ่อยๆกับคำว่า ยุค 4.0 แล้ว ยุค 4.0 คืออะไร นโยบายนี้จะช่วยพัฒนาประเทศของเราได้อย่างไร มาทำความรู้จักกัน
ยุค 4.0 เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ที่เปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ….ซึ่งกว่าจะมาเป็น ยุค 4.0 ก็ต้องผ่าน 1.0 2.0 และ 3.0 กันมาก่อน
- 1.) ยุค 1.0 ก็คือยุคของเกษตรกรรม คนไทยปลูกข้าว พืชสวน พืชไร่ เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ นำผลผลิตไปขาย สร้างรายได้และยังชีพ
- 2.) ยุค 2.0 ซึ่งก็คือยุคอุตสาหกรรมเบา ในยุคนี้เรามีเครื่องมือเข้ามาช่วย เราผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องดื่ม เครื่องเขียน เครื่องประดับเป็นต้น ประเทศเริ่มมีศักยภาพมากขึ้น
- 3.) ยุค 3.0 (ซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน ) เป็นยุคอุตสาหกรรมหนัก เราผลิตและขายส่งออกเหล็กกล้า รถยนต์ ก๊าซธรรมชาติ ปูนซีเมน เป็นต้น โดยใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อเน้นการส่งออก
ในช่วงแรก ยุค 3.0 เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันกลับเติบโตเพียงแค่ 3-4% ต่อปีเท่านั้น ประเทศไทยจึงตกอยู่ช่วงรายได้ปานกลางมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ในขณะที่ทั่วโลกมีการแข่งขันที่สูงขึ้น เราจึงต้องเปลี่ยนสู่ ยุค 4.0 เพื่อให้ประเทศไทยให้กลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง
ในปัจจุบันประเทศไทยยังติดอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจแบบ “ทำมาก ได้น้อย” จึงต้องการปรับเปลี่ยนเป็น “ทำน้อย ได้มาก” ก็จะต้องเปลี่ยนจากการผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม” และเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วย
- ภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม
- อย่างการเกษตรก็ต้องเปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม ไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและใช้เทคโนโลยีหรือ Smart Farming โดยเกษตรกรต้องร่ำรวยขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ
- เปลี่ยนจาก SMEs แบบเดิมไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups ที่มีศักยภาพสูง
- เปลี่ยนจากรูปแบบบริการแบบเดิมซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่บริการที่มีมูลค่าสูง
- เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงานที่มีความรู้และทักษะสูง
โมเดลของ Thailand 4.0 นั่นคือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน